Friday, January 27, 2012

ชีวิตคืออะไร ?

.........................................
เท่านี้หรือ ? คือชีวิต




Wednesday, January 18, 2012

จับตาโลกใน 4 ทศวรรษ เศรษฐกิจเกิดใหม่ จะครองบัลลังก์

               ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสเศรษฐกิจโลกในยุคศตวรรษใหม่กำลังจับตามองการเติบโตของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่แบบตาไม่กะพริบ ในฐานะที่กลายเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่เพิ่มบทบาทกลายมาเป็นพระเอกครองเวทีโลกแทนที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาแล้ว ที่นับวันจะติดกับดักในวิกฤตปัญหาการเงินของตัวเองทั้งในสหรัฐ และยุโรป จนทำให้อิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ

จากการคาดการณ์ของธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (เอชเอสบีซี) เมื่อต้นปีที่ผ่านมานั้นดูหรูหราระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจอันรวดเร็วของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของขั้วโลกครั้งใหม่ทีเดียว โดยในปี 2050 ผลผลิตของโลกที่เกิดจากกลุ่มเศรษฐกิจเกิดใหม่นั้นจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัว จีนจะก้าวแซงสหรัฐขึ้นมาเป็นเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยอินเดีย ตามมาเป็นอันดับ 3

ในปี 2050 ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่นๆ ยังจะมีขนาดเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 เท่าตัว และจะมีขนาดที่ใหญ่กว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเม็กซิโก ตุรกี อินโดนีเซีย อียิปต์ มาเลเซีย โคลัมเบีย เวเนซุเอลา และไทย ซึ่งจะเป็นกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมากที่สุดกลุ่มหนึ่งด้วย

ผลผลิตมวลรวมของโลกจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าตัวด้วยแรงผลักดันจากการเติบโตของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยการเติบโตของกลุ่มประเทศเหล่านี้จะมีอัตราเติบโตมากกว่าประเทศพัฒนาแล้วถึง 2 เท่า

เจาะลึกไปที่อินเดีย แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา อินเดียจะทำได้ไม่ค่อยดีนักกับการพัฒนาเศรษฐกิจ อันมีปัญหามาจากที่รัฐบาลกลางยังควบคุมระบบเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับศักยภาพการนำทรัพยากรมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดยังไม่ค่อยจะดีนัก

แต่ทว่า ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา อินเดียเริ่มที่จะแก้ปัญหาเหล่านั้นมากขึ้น เช่นการผ่อนคลายข้อจำกัดของการออกใบอนุญาตด้านอุตสาหกรรม และผ่อนคลายข้อกำหนดการนำเข้าสินค้า

ขณะที่ในภูมิภาคละตินอเมริกานั้น ดูเหมือนว่าจะเปิดกว้างมากกว่าสู่การแข่งขันในเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มพิกัด

แต่ทว่า จากปัญหาแผลเรื้อรังในด้านวินัยทางการเงินมาตั้งแต่ยุค 1970 และ 1980 นั้น ทำให้ภูมิภาคนี้มีความเสี่ยงต่อปัญหาเงินเฟ้อ และปัญหาหนี้สาธารณะในอนาคตสูง การแก้ปัญหาด้วยการส่งเสริมธรรมาภิบาลจึงถือว่าเป็นอนาคตของเศรษฐกิจละตินอเมริกาทีเดียว

ส่วนจีนนั้นที่ผ่านมาได้เปิดประเทศสู่การลงทุนตรงจากต่างชาติ และเปิดการค้าระหว่างประเทศอย่างเต็มสูบ แต่ทว่า จีนก็มีปัญหาท้าทายมากมายที่ต้องตามล้างตามเช็ด เช่น ปัญหาการขาดโครงสร้างสาธารณูปโภค

แต่ทว่า แรงขับเคลื่อนสำคัญของจีนในอนาคตนั้นจะอยู่ที่การเปิดเสรีของภาคการเงิน ซึ่งจะทำให้การจัดสรรเงินทุนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างไร

กระนั้นก็ตาม แม้ว่าในปี 2050 นั้น จะถือว่าเป็นการเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิศาสตร์เศรษฐกิจโลกเท่านั้น เพราะแม้ว่ากลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะมีอัตราการเติบโตที่น่าตื่นตะลึง อย่างเช่นขนาดเศรษฐกิจของจีนจะโตขึ้นมากกว่า 7 เท่า แต่ทว่านั้นไม่ได้หมายความว่า ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะได้เลื่อนขั้นสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างง่ายๆ นัก

กรณีตัวอย่างของจีน หากพิเคราะห์ลงไปแล้วจะเห็นว่า ในปี 2050 แม้ว่าจีนจะขึ้นมาเป็นประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ทว่า รายได้ต่อหัวประชากรของจีนจะคิดเป็นเพียง 32% ของรายได้ต่อหัวประชากรในสหรัฐเท่านั้น ซึ่งรายได้ประชากรถือว่าเป็นมิเตอร์วัดสำคัญของคำว่า “พัฒนาแล้ว”

นั่นสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาใหญ่ของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่มาตั้งแต่ยุคศตวรรษที่ 20 ที่ต้องพบกับความล้มเหลวของการพัฒนามาตรการการครองชีพของประชากรมาตลอด

เพราะอะไร?

ต้องยอมรับว่า แรงผลักดันทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ส่วนใหญ่นั้นยังคงพึ่งพาการเป็นฐานการผลิต และการเป็นฐานของผู้ผลิตอาหารโลก

ในจีนนั้น 12% ของผลผลิตมวลรวมประชาชาติมาจากผลผลิตทางการเกษตรทั้งสิ้น ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งแรงงานเป็นสำคัญคิดเป็นถึง 40% ของประชากรทั้งหมดเป็นผู้สร้างทีเดียว

การพึ่งพาประชากรจำนวนมากเพื่อสร้างผลผลิตในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จึงยังคงมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งการพึ่งพาแรงงานจำนวนมากดังกล่าว จะยิ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเขตเมืองมากขึ้น เมื่อประชากรมากขึ้น เมืองมีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะยิ่งทำให้เกิดปัญหาประชากร และการกระจายรายได้มากขึ้น

ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่เหล่านี้จำเป็นควบคุมและเร่งรับมือกับปัญหาที่จะตามมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นการให้การศึกษาแรงงานเพื่อรองรับกับผลผลิตที่มีความซับซ้อนกว่าเดิม หรือการกระจายรายได้ที่จะต้องเป็นธรรมมากขึ้น

ดังเช่นรายงานของ เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม ฉบับล่าสุดที่เตือนว่า ปัญหาความไม่เท่าเทียมของประชากรโลก โดยเฉพาะในด้านการกระจายรายได้นั้นจะกลายเป็นความเสี่ยงครั้งใหม่ของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ทีเดียว ซึ่งในที่สุดจะส่งผลให้แต่ละประเทศเลือกที่จะใช้นโยบายเชิงปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองอย่างเต็มที่

สำหรับสหรัฐ แชมป์ขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในวันนี้ แม้ว่าในอีก 4 ทศวรรษหน้าจะถูกจีนแซงหน้าขึ้นเป็นอันดับ 1 แต่ก็ถือว่าสหรัฐจะยังประคองตัวได้อยู่ในระดับท็อปของกลุ่มได้ต่อไป จากพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่แข็งแกร่ง ตลอดจนสหรัฐยังมีฐานะประชากรที่มีความรู้แน่น ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศที่สำคัญต่อไป

ดังนั้น แม้ว่าสหรัฐจะหลุดจากตำแหน่งแชมป์โลก แต่สหรัฐก็ยังจะคงอำนาจในเวทีนโยบายโลกต่อไป สวนทางกับประเทศที่มีขนาดประชากรไม่มากนักในยุโรป เช่น สวีเดน เบลเยียม ออสเตรีย นอร์เวย์ หรือเดนมาร์ก ที่จะไม่สามารถเกาะกระแสการเติบโตของโลกได้ดีนัก เพราะนอกจากปริมาณแรงงานในประเทศไม่เพียงพอแล้ว หนำซ้ำยังมีประชากรวัยเกษียณที่ต้องดูแลจำนวนมากขึ้นอีกด้วย

แต่สำหรับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่แล้ว อาจจะเป็นเรื่องน่ายินดีที่อีกไม่นานนี้จะก้าวขึ้นมาเป็นกลุ่มที่ครองอิทธิพลหลักในเวทีเศรษฐกิจโลก

แต่ทว่า ไม่ใช่เวทีสำหรับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน หรือแรงงาน

หรือแม้แต่คำว่า “พัฒนาแล้ว” ถ้าหากภาครัฐไม่คิดจะกระจายรายได้ให้เท่าเทียม และไม่คิดจะพัฒนาคน ให้ทันการพัฒนาของเศรษฐกิจในชาตินั้นๆ

Tuesday, January 17, 2012

คุณพ่ออัมพร คุณแม่ไสว วิชาชัย ที่ฉันรัก

สวัสดีครับ

วันที่ 11 ม.ค. 2555 วันแรกกับการสมัคและเขียน Bloggang ครับ

อยากเขียนถึงครอบครัว วิชาชัย
ที่ีมีคุณพ่ออัมพร และ คุณแม่ไสว หรือ ไพรวัลย์ ที่เคารพรักของลูกๆ นะครับ

กลยุทธ์หมากล้อม ไม่มุ่งเอาชนะ..ย่อมไม่แพ้

ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์   ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซีพี ออลล์
 
วิกฤติรอบนี้ คือ โอกาสของ..ซีพี ออลล์ ชี้ภาพบริษัทอีก 10 ปีข้างหน้าจะยึดหัวหาดทุกพื้นใช้เป็นช่องทาง “ขาย” อย่างสมบูรณ์แบบ
ภาย ใต้กลยุทธ์ขยายสาขาร้าน 7-Eleven ชนิด “ปูพรม” เสมือนวางหมากล้อมไว้ทั่วกระดาน แต่แท้จริงแล้ว ปรัชญาของหมากล้อม เขียนไว้ชัดเจนว่า “ชนะโดยไม่มุ่งที่จะเอาชนะใคร”
 

สอดคล้องกับคำพูดที่.."ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บอสใหญ่ บมจ.ซีพี ออลล์ บอกไว้ว่า ทุกพื้นที่ของร้านเซเว่นฯไปเปิดยังพื้นที่ใดไม่เคยไป “ฆ่า” โชวห่วย หากแต่ไปกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายมากขึ้น เหมือนทุกหมาก(ทุกสาขา)ที่วางลงบนกระดาน ถูกร้อยโยงเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง
หมากกระดานนี้ของซีพี ออลล์ จึงยังไม่มีทั้ง "ผู้แพ้" และไม่มี "ผู้ชนะ" เพราะเกมยังไม่จบเหมือนการเติบโตที่ยังไม่หยุดนิ่ง
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซีพี ออลล์ ให้ความมั่นใจว่า ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ นั่นคือ “โอกาส” ที่บริษัทจะเติบโต เหมือนกับสมัยปี 2540 ที่ ร้าน 7-Eleven สามารถเติบโตสวนทางเศรษฐกิจขาลง เพราะได้โอกาสลงทุนจ้างคนและตั้งสาขาในต้นทุนที่ต่ำกว่าปกติ
“12 ปีที่แล้ว เรายังมีจำนวนสาขาเพียง 800 แห่ง ตอนนี้เรามี 4,800 แห่ง เราโตเร็วในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังแย่สุดๆ ด้วยซ้ำ ส่วนปีนี้ เรายังมีการเติบโตแน่นอน”
ปัจจัยความสำเร็จของซีพี ออลล์ นอกเหนือจากบุคลากรที่มี “พลัง” ในการให้บริการ 80,000 คนทั่วประเทศแล้วยังมีอำนาจต่อรองกับผู้ผลิตสินค้าสูงมาก สามารถดึงสินค้าที่ดีและดังที่สุดมาวางขายในร้านได้ก่อนใครหรือบางชิ้นมี จำหน่ายเฉพาะที่ร้าน 7-Eleven เพียงที่เดียว
“เรากล้าพูดได้ว่าสินค้าใดๆ ในประเทศที่ไม่เข้ามาขายในร้าน 7-Eleven ถือว่าน่าเสียดายโอกาสอย่างยิ่ง”
เขา ยังชี้ภาพของซีพี ออลล์ ในอีก 10 ปีข้างหน้า ยังมีโอกาสเติบโตและพัฒนาในเชิงบริการได้เหมือนกับประเทศที่เป็นต้นแบบอย่าง ญี่ปุ่น ซึ่งร้าน 7-Eleven ที่นั่นสามารถขายอาหารแช่แข็งได้ถึงวันละสามเวลา ส่วนไทยในอนาคตจะสามารถจำหน่ายได้สองเวลาเช้า-เย็น โดยของไม่เหลือทิ้ง ในอนาคต คือการเพิ่มสัดส่วนสินค้าอาหารภายในร้านอย่างต่อเนื่อง ชูคอนเซ็ปต์ “ร้านค้าอิ่มสะดวก” (Convinience Food Store) 
นอกจากนี้ กำลังขยายธุรกิจออกไปสู่การเป็นช่องทางการตลาดครบวงจร เช่น จำหน่ายสินค้าวาไรตี้ อย่างซีดีเพลง หนังสือนิตยสาร รวมถึงกำลังเจรจากับธนาคารพาณิชย์เพื่อตั้งเคาน์เตอร์ในสาขาของร้านด้วย
“เรายังตามหลังญี่ปุ่นซึ่งเป็นตัวเปรียบเทียบ ประมาณ 10 ปี เมื่อถึงเวลานั้นร้าน 7-Eleven จะเป็นช่องทางจำหน่ายอาหารและบริการที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก”
ส่วนแผนการขยายสาขา ปัจจุบันร้าน 7-Eleven มีอัตราการเปิดสาขาใหม่วันละ 1-2 สาขา ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่ประเทศไต้หวัน คิดเป็นอัตราเฉลี่ยปีละ 400 สาขาต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้ยังวางแผนที่จะลุยเปิดร้าน 7-Eleven ที่ประเทศเวียดนาม โดยปัจจุบันกำลังยื่นขอใบอนุญาตกับทางการ
สำหรับคำถามที่ว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วใกล้ถึง “ทางตัน” แล้วหรือยัง..? ก่อศักดิ์ ตอบว่า ตอนนี้ไทยมีร้านสะดวกซื้อ 10,000 แห่งกับประชากร 65 ล้านคน ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีประชากร 120 ล้านคน มีร้านสะดวกซื้อ 50,000 แห่ง คิดสัดส่วนแล้วช่องว่างที่จะขยายสาขายังมีอีกมาก 
“เรายังจะเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง ภายในปี 2562 (อีก 10 ปี) เราจะมีจำนวนสาขาถึง 10,000 แห่งทั่วประเทศอย่างแน่นอน”
ส่วนแนวโน้มธุรกิจในปีนี้ เกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ รองกรรมการผู้จัดการการเงินและลงทุนสัมพันธ์ กล่าวว่า บริษัทยังคงตั้งเป้าแบบอนุรักษ์นิยมเช่นเดิม คาดว่ารายได้รวมในปีนี้น่าจะเติบโตได้ 3-5% แม้ปีที่ผ่านมารายได้โตถึง 20% และย้อนหลัง 5 ปี รายได้มีการเติบโต 20% มาตลอด
“ตัวเลขย้อนหลัง 10 ปี ตลาดค้าปลีกมีการเติบโตเฉลี่ย 5% ซึ่งเราตั้งเป้าเติบโตตามตัวเลขนั้นมาโดยตลอด”
โดยในปีที่ผ่านมา ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อวันต่อหนึ่งสาขาอยู่ที่ 68,709 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีที่แล้ว จำนวนลูกค้าที่เข้าร้านต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ 1,195 ราย เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีที่แล้ว และยอดขายของร้านเดิม (Same Store Sale) ยังเติบโต 5.5% จากปีที่แล้ว
ด้านสัดส่วนสินค้าที่ขายส่วนใหญ่ยังเป็น Food 72.4% และ Non Food 27.6% ส่วน Gross margin ของสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วจาก 27.3% เป็น 28.2%
“การที่เราเน้นสินค้าอาหารนอกจากจะมีกำไรขั้นต้นสูงกว่าสินค้าของใช้แล้ว ยังมีอัตราหมุนเวียนสูง ทำให้กระแสเงินสดของเราไหลอย่างรวดเร็ว”
ส่วนไฮไลต์สำคัญหลังจากที่ตัดขายธุรกิจห้างโลตัสที่ปะเทศจีนออกไปแล้ว (ปกติขาดทุนปีละ 3,000 ล้านบาท) ทำให้ซีพี ออลล์ มีฐานะเป็นเพียงแค่ผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพ มูลค่า 4,726 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี ถือผ่านบริษัท เจียไต๋ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหม่
“เงินสดที่ได้จากการขายหุ้นเรายังไม่แปลงมาเป็นกำไรขาดทุนทันทีแต่แปลงมา อยู่ในส่วนของผู้ถือหุ้นและจะทยอยได้รับเงินคืนเมื่อหุ้นกู้หมดอายุและขายทำ กำไรออกมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 1% ต่อปี”
ส่วนแผนการลงทุนปีนี้ คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 3,400-3,800 ล้านบาท ในการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา รวมถึงงบประมาณปรับปรุงสาขา 2,000 ล้านบาท และวางระบบไอทีและศูนย์กระจายสินค้าอีก 500-600 ล้านบาท ปัจจุบันมีเงินสดในมือ 11,897 ล้านบาท รองรับการลงทุนและจ่ายปันผลได้อย่างสบาย
เกรียงชัย ยังชี้ให้เห็นอัตราส่วนการเงินของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 26.4% มาเป็น 27.2% ซึ่งเป็นการเติบโตสูงกว่าทุกปี และROE เพิ่มจาก 16.3% เมื่อปี 2550 เป็น 25.5% และปัจจุบันบริษัทมีสถานะปลอดหนี้ (Net Cash)
คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนในปีนี้ น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ส่วนแนวโน้มหุ้น CPALL ในสายตา “ต่างชาติ” มือการเงินรายนี้ บอกว่า เท่าที่ออกโรดโชว์ในต่างประเทศ นักลงทุนยัง Over Weight หุ้น CPALL เช่นเดิมและยังมีนักลงทุนสถาบันหลายแห่งสนใจแม้ภาวะการลงทุนภาพรวมยังไม่ อำนวย
จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบว่า ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ย.2551 ถึงวันที่ 6 มีนาคม 2552 ก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ได้ทยอย “ขาย” หุ้น CPALL ออกไปรวม 2,050,000 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 11.90 บาท ได้รับเงินรวม 24.39 ล้านบาท โดยเป็นการขายออกเพียง "ขาเดียว"

Friday, January 6, 2012

หนทางสู่ความสำเร็จ

ไม่มีใครนิยมชมชอบความ ล้มเหลวสักราย นอกจากหมดอาลัยตายอยากจริงๆ ทว่าเพิ่งขึ้นต้นเถลิงศกใหม่ทั้งที จะห่อเหี่ย ใจไปทำไม หากตกงานก็ให้มองในแง่ดีว่า อีกไม่นานเราจะได้งานทำ ตั้งมั่นอย่างนี้ สักวันจะสมความปรารถนา ไม่ได้ล้อเล่นนะ พูดจริงๆเหตุนี้ จึงขอหันมาเล่าเรื่อง The Winner's Guide to Success ผู้ชนะแนะวิธีสู่ความสำเร็จในนิตยสาร รีเดอร์'ส ไดเจ็ท ดีกว่าเพราะอย่านึกนะว่า ทุกคนจะประสบความสำเร็จกันง่ายๆ ทำความดียากกว่า สร้างความเลวซะอีก คนดีๆ จึงอยู่ในสังคมลำบากกว่าไงจ๊ะ ไมเคิล เจฟฟรีย์ อารัมภบทในเชิงถามว่า รู้ไหมว่า คนที่ประสบความสำเร็จคิดอย่างไร? หรืออะไรเป็นแรงผลักดันพวกเขา? ดังนั้น เพื่อที่จะได้คำตอบเหล่านี้ หนุ่มเจฟฟรีย์ จึงดิ้นรนไปสอบถามความคิดเห็น จากตัวอย่างของผู้ประสบความสำเร็จ ในหลายสาขาอาชีพ แล้วนำมายำรวมกันกลายเป็นแรงจูงใจ 7 ประการดังนี้
1. บอกกับตัวเองว่า อนาคตขึ้นอยู่กับความคิด และการกระทำของคุณเอง ไม่ต้องไปรอให้ชะตากำหนดหรือฟ้าลิขิต และยิ่งจะดีขึ้นอีก ถ้าไม่ต้องไปฟังใคร โดยเฉพาะพวกที่ชอบดูถูกดูหมิ่นเราว่า ไม่มีทางทำอย่างนี้ได้หรืออย่างนั้นได้ ใครจะไปรู้จักเราจริง พวกนี้มีปากก็พูดได้ทุกอย่าง แต่ไม่จริงเสมอไปจำไว้เลย เว้นแต่ใจของคนฟังไม่เข้มแข็งพอ คุณก็จะเป็นอย่างที่เขาบอก
2. วางเป้าหมายให้ชีวิต เช่น จะทำงานอะไร หรือมีชีวิตคู่อย่างไร ใช้สติกำหนดไว้แต่เนิ่นๆ
3. เมื่อมีเป้าหมายก็ต้อง มีการวางแผน ทำอย่างไรถึงจะได้ดั่งใจ ขอเพียงอย่าเขียนแผนมั่วเป็นใช้ได้
4. อย่าจับเสือมือเปล่า หมายถึง ต้องยอมลงทุนบ้าง เพื่อให้ได้ความสำเร็จนั้นมา ยกตัวอย่าง หากอยากเป็นหมอหรืออะไรก็แล้วแต่ ควรลงแรงและลงสมอง ใส่ใจศึกษาหาความรู้ด้วย ถ้าอยู่เฉยๆ จะเอ็นทรานซ์ติด คณะที่เราชอบได้ไง เช่นเดียวกับถ้าไม่พยายามอะไรเลย ไม่ยอมเขียนจดหมายไปสมัครงาน แล้วบริษัทห้างร้านต่างๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า มีคุณอยู่ในโลกหรือจะติดต่อกับคุณอย่างไร
5. ทำสิ่งใดก็ควรรู้จริงในสิ่งนั้น อย่ารู้แบบเป็ด เพราะคนที่คู่ควรกับความสำเร็จ ต้องฝึกฝนจนมีทักษะสุดยอด ในงานที่ทำถึงจะถูก
6. อย่าท้อถอยง่ายๆ บอกตั้งแต่ต้นแล้วไงว่า ของแบบนี้ทำได้ยาก ต้องเผื่อใจไว้ด้วย
7. อย่าชักช้า ลงมือทำในสิ่งที่ตั้งใจเสียแต่บัดนี้ หากโอ้เอ้คงได้หรอก ความสำเร็จน่ะ

เตรียมตัวก่อนไปฝังเข็ม?

กระบวนการรักษาโรคนั้น เป็ฯกระบวนการของสัมพันธภาพที่เกิดขึ้นระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย ซึ่งความสัมพันธ์นี้ไม่ควรเป็นลักษณะของ “การสั่งทำ” แพทย์และผู้ปวยควรสร้างความสัมพันธ์ในลักษณะของ “ความร่วมมือ” กันมากกว่า ผลการรักษาของโรคหนึ่ง ๆ จะดีหรือไม่อย่างไรนั้น จึงขึ้นอยู่กับว่า แพทย์และผู้ป่วยจะสามารถประสานร่วมมือกันได้ดีเพียงใดอีกด้วย
           เวชกรรม ฝังเข็มกล่าวสำหรับคนไทยเราแล้ว ยังนับเป็นเรื่องแปลกใหม่  ดังนั้นเมื่อจะไปรักษาย่อมมีความกังวลใจและความหวาดกลัวเกิดขึ้นไม่รู้ว่า ควรจะเตรียมปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง? ทำให้การประสานร่วมมือในการรักษาไม่ราบรื่น ผลการรักษาจึงอาจไม่ดีเท่าที่ควร
            ดังนั้น ก่อนไปฝังเข็ม ผู้ป่วยก็ควรต้องมีการเตรียมตัวด้วย
1. เตรียมใจไปรักษา
            ผู้ป่วยรายหนึ่งเปนโรคกระดูกสันหลังเสื่อม มีอาการปวดหลังเรื้อรังมานานหลายปี ตะเวนไปรักษากินยาสารพัดแต่อาการไม่ทุเลา บังเอิญมีญาติคุยเรื่องฝังเข็มให้ฟังและพาผู้ป่วยมาพบแพทย์ เมื่อแพทย์ตรวจดุแล้ว จึงแนะนำให้รักษาด้วยการฝังเข็ม แต่ผู้ป่วยกลัวเจ็บมาก ขณะที่นอนบนเตียง เมื่อแพทย์จะลงมือปักเข็ม ผู้ป่วยก็ร้องเสียงดังลั่นด้วยความกลัว กล้ามเนื้อเกร็งไปหมดทั้งตัว จนกระทั่งแพทย์หมดปัญญาที่จะปักเข็มได้ สุดท้ายจึงต้องยกเลิกการรักษาไป
            การฝังเข็มนั้นเป็ฯการรักษาที่มีลักษณะเป็น “หัตถการ” ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วย ถ้าผู้ป่วยหวาดกลัวดิ้นไปมาโดยเฉพาะถ้าเป็นเด็ก แพทย์ก็จะปักเข็มได้ไม่ถนัดหรือผิดพลาด ผลการรักษาย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน หรือกระทั่งอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
            ผู้ป่วยที่มารักษาฝังเข็ม จึงควรมาด้วยความมั่นใจต่อการรักษา มิใช่มาด้วยความกังวล หวดวิตก บางคนกลัวเข็มเสียจริง ๆ กระทั่งเข็มฉีดยาก็ยังกลัวหรือแค่เห็นก็หวาดเสียว บางคนหน้าซีดใจสั่นหรือกระทั่งเป็นลมไปเลยก็มี ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ควรจะรักษาด้วยการฝังเข็ม เพราะผลการรักษามักจะไม่ค่อยดีเสมอ
           แพทย์เวชกรรมฝังเข็ม ที่ดีจึงควรอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจถึงเป้าหมาย วิธีการ ข้อดีข้อเสียของการรักษาให้ชัดเจนพอสมควร จะช่วยลดความกังวลของผู้ป่วยและญาติได้มากทีเดียว
2. สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสม
            ในการฝังเข็ม ตำแหน่งจุดปักเข็มบางครั้งจะอยู่บริเวณใต้ร่มผ้า ผู้ป่วยจึงควรสวมใส่เนื้อผ้าที่เป็นชุดแยกส่วนระหว่างเสื้อกับกระโปรงหรือ กางเกง เสื้อผ้าที่สวมใส่ไม่ควรรัดแน่นเกินไปเพื่อสะดวกในการถลกพับ แขนเสื้อและปลายขากางเกงควรให้หบวมหรือกว้างพอที่จะพักสุงขึ้นมาหรือข้อศอก หรือข้อเข่าได้ ในกรณีที่ต้องปักเข็มบริเวณไหล่หรือต้นคอก็ควรเลือกสวมเสื้อที่มีคอกว้าง
            ผู้ป่วยที่เป็นโรคอัมพาต ควรสวมเสื้อแขนกุดและกางเกงขาสั้นจะทำให้แพทย์ปักเข็มได้สะดวกง่ายดายขึ้น

โดย ทั่วไปแล้วควรจัดให้ผู้ป่วยฝังเข็มในท่านอนเสมอ เพราะผู้ป่วยสามารถผ่อนคลายในขณะฝังเข็มได้ดีกว่า และยังช่วยป้องกันภาวะ “เวียนศีรษะหน้ามืด” ที่อาจเกิดได้ง่ายในรายที่วิตกหวาดกลัวมาก
3. รับประทานอาการให้พอเหมาะ
            โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยที่มาฝังเข็มควรรับประทานอาการมาก่อนประมาณ 1-2 ชั่วโมง และไม่ควรรับประทานอาหารมากจนเกินไป หากเพิ่งรับประทานอาหารอิ่มมาใหม่ ๆ หรือรับประทานมากเกินไป อาหารยังคงค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก เมื่อมาฝังเข็มซึ่งต้องนอนเป็นเวลานาน ๆ ถึง 20 นาที อาจทำให้รู้สึกอึดอัด โดยเฉพาะในท่านอนคว่ำผู้ป่วยอาจทนไม่ได้ นอกจากนี้ หากต้องปักเข็มบริเวณหน้าท้อง ถ้ากระเพาะอาหารบรรจุอาหารจนพองโตมาก ๆ อาจทำให้เกิดอันตายจากการปักเข็มทะลุเข้าไปในช่องท้องหรือกระเพาะอาหารได้ ง่าย
            ตรงกันข้าม ไม่ควรมารักษาในขณะที่กำลังหิวจัด เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดอาการ “หน้ามืดเป็นลม” ได้ง่ายเมื่อกระตุ้เข็มแรง ๆ ทั้งนี้เพราะว่าร่างกายอาจขาดพลังงานที่จะเอามาใช้เผาพลาญ ในขณะที่ระบบประสาทและฮอร์โมนกำลังถูกกระตุ้นจากการฝังเข็ม
4. ทำความสะอาดร่างกายให้เรียบร้อย
            การฝังเป็นมเป็นหัตถการที่ต้องใช้วัตถุแหลมคมปักผ่านผิวหนังลงไปในร่างกาย ผู้ป่วยจึงควรมีสภาพร่างกายที่สะอาด เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อโรคให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนมาฝังเข็ม หากผู้ป่วยสามารถอาบน้ำสระผมมาก่อนได้นั่นก็จะดีที่สุด หรืออย่างน้อยก็อย่าให้ส่วนของร่างกายบริเวณที่ต้องปักเข็มนั้นสกปรกจนเกิน ไปก็ถือว่าใช้ได้เหมือนกัน ผู้ป่วยบางคนมาฝังเข็ม ทั้ง ๆ ที่เท้ายังมีโคลนติดอยู่เลย เช่นนี้ก็ควรล้างเท้าให้สะอาดเสียก่อน เพราะอาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในร่งกายได้ง่าย
            ผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยการปักเข็มศีรษะ ควรตัดผมให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้ ไม่ควรใช้เยลหรือครีมทาผมที่เหนียวเหนอะหนะหรือถ้าหากไม่ใช้เลยจะดีที่สุด เพื่อสะดวกแก่แพทย์ในการปักเข็มเช่นกัน
            ผู้ป่วยสตรีที่กำลังมีประจำเดือนมานั้น สามารถปักเข็มรักษาได้ โดยไม่มีอันตรายอะไรเลย การที่ไม่นิยมฝังเข็มในช่วงนี้คงเป็นเรื่องของความไม่สะดวกหรือความกระดาก อายมากกว่า
5. สงบกายและใจในขณะรักษา
              เมื่อ แพทย์ปักเข็มลงบนผิวหนัง ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยคล้ายกับถูกมดกัด เมื่อแพทย์ปักถึงตำแหน่งจุด ผู้ป่วยจะรู้สึกตื้อ ๆ หรือหนัก ๆ หรือชา เล็กน้อย เมื่อแพทย์เริ่มทำการกระตุ้นหมุนปั่นเข็ม ก็จะรู้ตื้อ ๆ หรือหนัก ๆ หรือชาเล็กน้อย เมื่อแพทย์เริ่มทำการกระตุ้นหมุนปั่นเข็ม ก็จะรู้สึกตื้อหรือหนักชามากขึ้น ในบางครั้ง ความรู้สึกดังกล่าวอาจจะแผ่เคลื่อนที่ออกไปตามแนวเส้นลมปราณก็ได้ หากเกิดความรู้สึกเช่นนี้ มักจะมีผลการรักษาดีเสมอ
              ใน กรณีที่ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ผู้ป่วยจะรู้สึกว่า กล้ามเนื้อบริเวณที่ปักเข็ม มีการเต้นกระตุกเบา ๆ เป็นจังหวะตามกระแสไฟฟ้าที่กระตุ้น
               โดยทั่วไปแล้ว ในระหว่างการฝังเข็มผู้ป่วยไม่ควรมีอาการเจ็บปวดหรือชามากจนเกินไป หากรู้สึกเจ็บปวดมากหรือมีอาการชามาก ๆ หรือรู้สึกเหมือนถูก “ฟฟ้าซ๊อต” ควรรีบบอกแพทย์ทันที เพราะเข็มอาจจะไปแทงถูกเส้นเลือดหรือเส้นประสาท หรือตำแหน่งของเข็มไม่ถูกต้อง หรือตั้งความแรงของกระแสไฟฟ้าจากเครื่องกระตุ้นไม่เหมาะสมก็ได้
                “ในระหว่างรักษา หากมีอาการผิดปกติหรือไม่สบายใด ๆ เกิดขึ้น เช่น แน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก หรือมืด รู้สึกวิงเวียนศีรษะเหมือนจะเป็นลม ให้รีบบอกแพทย์ผู้รักษาหรือผู้ช่วยแพทย์ทันที”
              ขณะ ที่มีเข็มปักคาร่างกายนั้น ควรนั่งหรือนอนนิ่ง ๆ ไม่ควรขยับเคลื่อนไหวส่วนของร่างกายที่มีเข็มปักคาอยู่ เพราะอาจทำให้เข็มงอหรือหักคาเนื้อได้ ยกเว้นการขยับตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ยังสามารถทำได้ แต่ร่ากายส่วนอื่น ๆ ที่ไม่มีเข็มปักอยู่นั้น สามารถขยับเคลื่อนไหวได้ตามสบาย
               การฝังเข็มนั้นเป็ฯการกระตุ้นระบบประสาทเพื่อรปับการทำงานของอวัยวะระบบต่าง ๆ ให้สู่สภาพสมดุล ถ้าหากมีสิ่งใดมารบกวนระบบประสาทมากไปในขณะที่กำลังกระตุ้น กลไกการปรับสมดุลของการฝังเข็มก็ย่อมจะถูกกระทบกระเทือนไปด้วย
              ระหว่าง ที่ปักเข็มรักษา ผู้ป่วยควรอยู่ในสภาพที่สงบผ่อนคลายอาจหลับตาและหายใจเข้าออกช้า ๆ ให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ เพื่อช่วยทำให้จิตใจสงบสบาย ในสมัยโบราณที่ชาวจีนรักษาด้วยการฝังเข็มนั้น จึงมักมีการฝึกเดินลมปราณหายใจร่วมไปด้วย ก็มีเหตุผลเช่นนี้นั่นเอง
               ถ้าอยู่ในสภาพภายในห้องฝังเข็มมีบรรยากาศที่วุ่นวาย อึกทึกครึกโครม ผู้ป่วยนอนอยู่ในสภาวะที่ตืนตระหนก วิตกกังวล เจ็บปวดหรือหวาดกลัว ผลการรักษาก็มักจะออกมาไม่ค่อยดี
               ในระหว่างที่ปักเข็มกระตุ้นอยู่นั้น ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกง่วงนอน เนื่องจาก การฝังเข็มสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่ง สารเอนดอร์ฟีน (endorphins) เกิดขึ้น สารนี้มีฤทธิ์คล้ายมอร์ฟีนช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยกล่อมประสาทให้รู้สึก เคลิบเคลิ้ม เมื่อรักษาไปหลาย ๆ ครั้ง ผู้ป่วยบางคนจะพบว่าตนเองนอนหลับได้ง่ายขึ้นหรือหลับสนิทขึ้น และจิตใจก็จะสดชื่นแจ่มใสมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
               จากการสำรวจพบว่า มีชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยทีเดียที่ไปฝังเข็มด้วยเหตุผลเพื่อกระตุ้นร่างกาย และจิตใจให้สดชื่น ทั้งท ๆ ที่พวกเข้าไม่ได้เจ็บป่วยด้วยโรคอะไรเลยก็มี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ดังกล่าวนี่เอง
6. การปฏิบัติตัวหลังการรักษา
               หลังจากปักเข็มกระตุ้นครบเวลาตามกำหนด ซึ่งใช้เวลาประมาณ 20-30 นาทีแล้ว แพทย์ก็จะถอนเข็มออก บางครั้งอาจมีเลือดออกเล็กน้อย ตรงจุดที่ปักเข็มเหมือนกับเวลาไปฉีดยา เนื่องจากเข็มอาจปักไปถูกเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ เมื่อใช้สำลีกดเอาไว้สักครู่ เลือกก็จะหยุดได้เอง
               หลังเสร็จสิ้นจากการรักษา โดยทั่วไปแล้วไม่มีข้อห้ามเป็นพิเศษอะไรเลย ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาการ อาบน้ำ ทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติ ยกเว้นในกรณ๊ที่ติดเข็มคาใบหู เวลาอาบน้ำต้องระมัดระวังมิให้ใบหูเปียกน้ำ
               โดยทั่วไปแล้วหลังจากฝังเข็ม ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องกลับไปนอนพักที่บ้านแต่อย่างไร สามารถขับรถหรือกลับไปทำงานได้ เว้นแต่บางคนอาจมีอาการอ่อนเพลียได้บ้างหลังจากฝังเข็ม เมื่อนอนพักแล้วก็จะหายไปได้
7. การรักษาอื่น ๆ ร่วมกับการฝังเข็ม
               ผู้ป่วยที่มารักษาฝังเข็ม อาจมีโรคประจำตัวอย่างอื่นอยู่แล้ว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคไขมันในเลือดสูง โรคถุงลมโป่งพอง ฯลฯ ซึ่งมักจะต้องมียารับประทานรักษาอยู่เป็นประจำ หรือมีอาการรักษาอื่น ๆ เช่น กายภาพบำบัด ร่วมอยู่ด้วย
               โดยทั่วไปแล้วการรักษาด้วยการฝังเข็ม มักสามารถจะรับประทานยาหรือใช้การรักษาอื่น ๆ ร่วมไปด้วยได้ โดยไม่มีข้อห้ามอะไร
              อย่าง ไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า การฝังเข็มอาจช่วยบรรเทาอาการโรคได้ด้วย เช่น ผู้ป่วยโรความดันโลหิตสูงที่มาฝังเข็มรักษาโรคอัมพาตของตนเอง อาจมีความดันโลหิตลดลงมาได้ในระหว่างรักษา ในกรณีเช่นนี้ก็ต้องปรับลดขนายาลงมาด้วย แต่ผู้ป่วยไม่ควรยหุดยาเหล่านั้นเองโดยพลการ
8. ข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับการฝังเข็ม
               1. ผู้ป่วยที่ตื่นเต้นหวาดกลัวต่อการรักษามากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ยังควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้
               2. ผู้ป่วยที่เหน็ดเหนื่อยหลังออกกำลังกายหนัก
               3. สตรีตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงใกล้คลอด เพราะว่าผู้ป่วยเหล่านี้มักจะไม่สามารถทนนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ ได้ การนอนหงายจะทำให้มดลูกและทารกในครรภ์กดทับหลอดเลือดดำใหญ่ในช่องท้อง อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการช๊อกเป็นลมได้ ส่วนท่านอนคว่ำก็ไม่เหมาะสมกับสตรีขณะตั้งครรภ์ เพราะจะกดทับทารกในครรภ์และก่อให้เกิดความอึดอัดไม่สบายแก่มารดา
               4. ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เมื่อเลือดออกแล้วหยุดยาก เช่น โรคฮีโมฟีเลีย เป็นต้น ถ้าจำเป็นต้องรักษาควรระมัดระวังเป็นพิเศษ การปักเข็มหรือการกระตุ้นเข็ม แพทย์จะต้องทำอย่างนุ่นนวลระวังมิให้เข็มปักโดนเส้นเลือดใหญ่ หลังจากถอนเข็ม ต้องกดห้ามเลือดให้นานกว่าผู้ป่วยทั่ว ๆ ไป
               5. ทารกเด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคจิตที่ไม่สามารถให้ความร่วมมือในการรักษาได้
               6. ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีเครื่องกระตุ้นการเต้นหัวใจ (pacemaker) ติดอยู่ในร่างกาย ห้ามรักษาโดยเครื่องกระตุ้นเข็มด้วยไฟฟ้า เพราะอาจรบกวนการทำงานของเครื่อง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะจนเกิดอันตรายร้ายแรงได้ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเช่นนี้ ยังคงสามารถปักเข็มกระตุ้นโดยวิธีการหมุนปั่นด้วยมือได้
              “ข้อห้าม” ดังกล่าวเหล่านี้ มิใช่เป็นข้อห้ามอย่างสมบูรณ์เด็ดขาด ตัวอย่างเช่น การปักเข็มในผู้ป่วยโรคจิตก็อาจทำได้เหมือนกัน หรือกรณีเด็กเล็กที่ให้ความร่วมมือในการรักษาก็สามารถรักษาได้เช่นกัน ขอเพียงแต่เข้าใจถึงเหตุผลที่จะทำให้เกิดอันตราย เมื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานของความระมัดระวัง เราก็อาจพลิกแพลงปักเข็มให้แก่ผู้ป่วยเหล่านี้ก็ได้